วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน
นิมิตรมงคล.jpg
เกิด21 เมษายน พ.ศ. 2451
เสียชีวิต11 เมษายน พ.ศ. 2491 (39 ปี)
สัญชาติไทย
รู้จักในสถานะนักเขียนชาวไทย
คู่สมรสคุณหญิงบรรจบพันธุ์ (สังขดุลย์) นวรัตน์ ณ อยุธยา (2461–2541)
บุตรหม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน
หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน (21 เมษายน 2451 — 11 เมษายน 2491) นักเขียนชาวไทย อดีตนายเรืออากาศที่ต้องโทษในคดีกบฏบวรเดช พ.ศ. 2476 ผู้มีผลงานเขียนวิพากวิจารณ์รัฐบาลตั้งแต่ในช่วงที่ถูกจองจำในเรือนจำกลางบางขวาง

ประวัติ[แก้]

หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน เป็นโอรสของหม่อมเจ้าธำรงวรวัฒน์ นวรัตน และพระนัดดาในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเนาวรัตน์ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ ได้รับการอบรมแบบทหารภายใต้พระบารมีของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ภายหลังจบโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้ย้ายไปเป็นนักบินขับไล่ประจำการ ณ สนามบินโคกกระเทียม เมื่ออายุ 25 ปี ขณะดำรงยศนายเรืออากาศโท ต้องออกจากราชการด้วยกรณีศาลพิเศษ พ.ศ. 2476 พิพากษาให้จำคุก 9 ปี ในคดีกบฏบวรเดช
ในระหว่างต้องโทษได้เริ่มศึกษาการเมืองโดยการอ่านตำราจากต่างประเทศของผู้ร่วมชะตากรรมในเรือนจำกลางบางขวาง และเขียนหนังสือขึ้น เริ่มเขียนตำราด้วยลายมือลงในสมุด ลักลอบเวียนกันอ่านในหมู่นักโทษการเมืองในชื่อวารสาร “น้ำเงินแท้” และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลบ้าง ก่อนที่นักโทษด้วยกันจะขอร้องให้เลิกเพราะกลัวถูกจับได้และจะถูกเพิ่มโทษ แต่ก็ยังคงเขียนต่อไปจนถืงกับส่งบทความออกมาลงหนังสือพิมพ์ภายนอก หลังถูกจองจำอยู่เพียง 5 ปีได้รับพระราชทานอภัยโทษ
เมื่อเป็นพ้นโทษแล้วได้เขียนเป็นหนังสือเล่มแรกชื่อ “พรรคการเมืองสยามและต่างประเทศ” แต่ถูกสันติบาลยึดไปจากโรงพิมพ์ทั้งหมดก่อนวางตลาด เพราะการมีพรรคการเมืองในสมัยนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทำให้เป็นอิสระอยู่ได้ไม่นานก็ถูกสันติบาลจับกุมตัวในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากสาเหตุที่สันติบาลไปค้นวังพระองค์เจ้าหญิงศิริรัตน์บุษบง พระธิดาองค์ใหญ่ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต แล้วเจอหนังสือกราบทูลของ ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน ด้วยสำนึกในพระกรุณาของสมเด็จพระบิดาของพระองค์หญิง ที่ได้ชุบเลี้ยงตนมาว่า เมื่อออกจากที่คุมขังมาเป็นอิสระ โอกาสที่จะเอาตัวออกรองฉลองพระบาทคงมีบ้าง ซึ่งสันติบาลแปลว่า โอกาสดังกล่าวคือ โอกาสที่จะคิดแก้แค้นรัฐบาล ในที่สุดศาลพิเศษ 2481 ได้ตัดสินว่าเป็นกบฏและให้จำคุกตลอดชีวิต ขณะถูกจองจำอยู่นั้น ได้ลอบแต่งหนังสือเมืองนิมิตร ขึ้นโดยให้ชื่อในขณะนั้นว่า “ความฝันของนักอุดมคติ” ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ และตกถึงมือสันติบาลอีก ซึ่งมีผลทำให้ถึงกับต้องโทษเนรเทศไปอยู่เกาะเต่าถึง 3 ปี รัฐบาลใหม่ของ นายควง อภัยวงศ์ จึงได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาในปี พ.ศ. 2488 พระราชทานนิรภัยโทษให้กลับเข้าในราชการรับบำเหน็จบำนาญสังกัด บก.ทอ. ตามเดิม
ในปี พ.ศ. 2490 ได้ทำการสมรสกับ คุณหญิงบรรจบพันธุ์ (สังขดุลย์) นวรัตน์ ณ อยุธยา (น้องสาวของพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ อดีตทหารผ่านศึกยุทธนาวีเกาะช้าง) แต่เนื่องจากสังขารที่กรอบเกรียมจากวัณโรคและมาเลเรีย ครั้งทนทุกข์ทรมานอยู่ ณ เกาะเต่า ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน ได้สิ้นอายุขัยลงต่อหน้ามารดาและภริยา ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2491 ก่อนที่ หม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน บุตรชายคนเดียวจะเกิดเพียง 45 วัน เท่านั้น สิริรวมอยู่ได้ 39 ปี 11 เดือน กับ 20 วัน

งานประพันธ์[แก้]

ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน มีผลงานที่ได้ประพันธ์ขึ้นและตีพิมพ์สู่บรรณพิภพ นอกจาก “พรรคการเมืองสยามและต่างประเทศ” ที่หลุดลอดจากการทำลายของสันติบาลหลงเหลืออยู่เล่มหนึ่งในห้องหนังสือหายากของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังมี “ชีวิตแห่งการกบฏสองครั้ง” และ “ความฝันของนักอุดมคติ” หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า “เมืองนิมิตร” ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น 1 ในหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน และ 1 ใน 88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย นอกจากนั้น ต้นฉบับภาษาอังกฤษชื่อ The Emerald’s Cleavage ได้รับการแปลโดย ศ. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ หลังจากถึงแก่กรรมแล้ว 26 ปี และตีพิมพ์ขึ้นในชื่อ ‘’รอยร้าวของมรกต’’ งานประพันธ์ของ ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน ได้รับการแปลและตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น เพื่อเผยแพร่อุดมคติของคนไทยคนหนึ่งไปทั่วโลก
ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน เป็นเจ้าของประโยคอมตะที่ยังทรงความหมายอย่างยิ่งต่อการเมืองไทย ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตว่า
ข้าพเจ้าเป็นทหารของชาติและถวายน้ำพิพัฒน์สัตยาจากพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้ามิใช่ทหารของรัฐบาลหรือกลุ่มนักการเมืองใด ๆ





อ้างอิง

  หนังสือ “เมืองนิมิตร” แต่เดิมชื่อ “ความฝันของนักอุดมคติ” กับหนังสือ “ชีวิตแห่งการกบฏสองครั้ง” ได้รับความสนใจจากคนหนุ่มสาวสมัยก่อน 14 ตุลาฯ มาก
       
        เมื่อได้อ่านหนังสือทั้งสองเล่มนี้แล้ว ก็มีความรู้สึกว่าคณะราษฎรได้กำจัดศัตรูทางการเมืองอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะพวกนิยมเจ้าเท่านั้น แต่เป็นใครก็ได้ที่วิจารณ์การปกครองระบอบใหม่ หนังสือสองเล่มนี้ทำให้ผมข้องใจกับอุดมการณ์ทางการเมืองของคณะราษฎร จนได้เขียนวิจารณ์พฤติกรรมทางการเมืองของคณะราษฎรหลายครั้ง
       
        หากใครได้อ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล แล้วก็อดชมไม่ได้ว่าคนสมัยก่อนมีความรู้แค่จบมัธยมปลาย แต่เขียนภาษาอังกฤษได้อย่างงดงาม
       
        ใน “เมืองนิมิตร” ผู้เขียนได้ระบายความรู้สึกของ “รุ้ง” ตัวเอก ทั้งในเชิงปรัชญาแห่งความรัก และในปรัชญาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
       
        เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล เขียนไว้ว่า “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องแก้ที่นิสัยของนักการเมือง ซึ่งส่วนมากดำเนินนโยบายอย่างใจแคบ คิดสั้น หันหลังเข้าหากัน มนุษย์สร้างความยุ่งยากเพิ่มขึ้นเองด้วยการตั้งกำแพงภาษี และตั้งกฎตั้งเกณฑ์กีดขวางชาตินั้น ภาษานี้ แล้วก็มีการแข่งขันค้าขายอย่างเชือดคอตัวเอง ด้วยเหตุนี้พลโลกกึ่งหนึ่งจึงหิวแสบไส้ในเมื่ออีกกึ่งหนึ่งมีกินอย่างอุดม ยุโรปตะวันออกอดอยาก แต่ชาวนาภาคตะวันตกตอนกลางเอาข้าวโพดมาเผาเป็นเชื้อเพลิง” เกี่ยวกับเงิน และกำไรเขาเขียนว่า “เงินคือเสนียดของอำนาจ เมื่อวิเคราะห์ลงไปอีกชั้นหนึ่ง คือกำไร ซึ่งแปลว่า ความได้เปรียบ กำไรเป็นสิ่งที่เพาะวิญญาณของสงคราม ทำให้มนุษย์ใจบาปหยาบช้าคิดล้างผลาญกัน...เพาะนิสัยเห็นแก่ตัว และขัดขวางความเจริญของโลกทุกระยะ...ถ้ามนุษย์สิ้นความปรารถนาจะหากำไร รัฐบาลต่างๆ ก็คงไม่เอาเปรียบกัน และคงปรึกษากันเพื่อสร้างแผนเศรษฐกิจสำหรับพลโลกขึ้น”
       
        ม.ร.ว.นิมิตรมงคลมีทัศนะที่เป็นสากลนิยม เขาเห็นว่า “ทุกชาติควรตกลงกันดำเนินนโยบายการศึกษาในทางที่ให้เห็นว่ามนุษย์ทั้งโลกนี้เป็นพวกเดียวกัน ศัตรูของเราก็คืออุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้เรารวมกันได้ เช่น ระบอบการปกครองของผู้นำ จารีตประเพณีที่ล้าสมัย”
       
        เกี่ยวกับระบอบการปกครอง เขาเขียนว่า “ลัทธิของกษัตริย์โบราณ และลัทธิกษัตริย์ไม่สวมมงกุฎอย่างฮิตเลอร์ ก็คือ การกดขี่คนส่วนมากด้วยคนส่วนน้อย ลัทธิประชาธิปไตยในยุโรปบางประเทศก็คือการกดขี่คนส่วนน้อยโดยคนส่วนมาก การปกครองตามลัทธิคอมมิวนิสต์ในรัสเซียก็คือการกดขี่คนทุกชั้นที่มิใช่กรรมกรโดยหัวหน้ากรรมกร ยังไม่มีการปกครองในประเทศใดที่น่าพอใจ ถ้าหากรัฐบาลได้ตั้งขึ้นโดยประชาชนเพื่อประชาชนจริงแล้ว รัฐบาลเช่นนั้นย่อมจะไม่กดขี่ข่มเหงราษฎรแม้แต่คนเดียว ไม่ทอดทิ้งราษฎรที่ประสบภัยแม้แต่คนเดียว อย่างนี้จึงจะนับว่าเป็นการปกครองตนเอง รัฐบาลขององคาพยพแห่งจุลินทรีย์เป็นรัฐบาลที่น่าจะถือเป็นตัวอย่างอันน่าปรารถนาสำหรับใช้ในองคาพยพของมนุษย์ รัฐบาลของมนุษย์เคยยิงเป้าพลเมืองของตน แต่มันสมองของมนุษย์ไม่เคยสังหารจุลินทรีย์ในร่างกายของตนเอง ถ้าหากจุลินทรีย์แม้แต่ตัวเดียวต้องประสบภัย มันสมองจะจัดการสั่งอวัยวะอื่นให้ช่วยเหลือ มนุษย์จะมีความสุขมาก ถ้ามีรัฐบาลที่ดีอย่างเดียวกับรัฐบาลขององคาพยพแห่งจุลินทรีย์”
       
        ลูกศิษย์เก่าๆ ของผมที่นิด้าคงจำได้ว่าผมได้นำหนังสือเมืองนิมิตรนี้มาใช้เป็นหนังสืออ่านประกอบวิชาสังคมไทย และได้นำข้อความบางตอนมาออกข้อสอบให้วิจารณ์กัน
       
        อีกไม่นานจะมีการฉลอง 100 ปี ม.ร.ว.นิมิตรมงคล ต้นฉบับภาษาอังกฤษหนังสือสองเล่มอยู่กับผม ผมเพิ่งคืนให้ ม.ล.ชัยนิมิตรไป มีบางเล่มที่สูญหายไป เช่น นวนิยายเรื่องยาว “บุญธรรมกรรมแต่ง” เป็นต้น ในงานจะมีนิทรรศการแสดงประวัติ และต้นฉบับหนังสือมีการอภิปรายผลงานของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคลด้วย
       
        การประกาศตัวของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคลนับว่าสมสมัย นั่นคือ “ข้าพเจ้าเป็นทหารของชาติ และถวายน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าไม่ใช่ทหารของรัฐบาลหรือของกลุ่มนักการเมืองใด” 


เรื่องที่4 เป็นบทความวิชาการเรื่อง “พรรคการเมืองสยามและต่างประเทศ”
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3025.195
ไปยังเว็บ


จอห์น ล็อก (John Locke)



จอห์น ล็อก
จอห์น ล็อก (John Locke) (29 สิงหาคม พ.ศ. 2175-28 ตุลาคม พ.ศ. 2247) เป็นนักปรัชญา ชาวอังกฤษ ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 ความสนใจหลักของเขาคือสังคมและทฤษฎีของความรู้

แนวคิดของล็อกที่เกี่ยวกับ "ผู้ปกครองที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใต้ปกครอง" และสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ ที่เขาอธิบายว่าประกอบไปด้วย ชีวิต, เสรีภาพ, และทรัพย์สิน นั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการทางปรัชญาการเมือง แนวคิดของเขาเป็นพื้นฐานของกฎหมายและรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งผู้บุกเบิกได้ใช้มันเป็นเหตุผลของการปฏิวัติ

แนวคิดด้านญาณวิทยาของล็อกนั้นมีอิทธิพลสำคัญไปจนถึงช่วงของยุคแสงสว่าง. เขามีทัศนะเกี่ยวกับทฤษฎีความรู้ว่า ความรู้จะต้องเกิดหลังประสบการณ์ และความรู้จะเกิดขึ้นโดยอาศัยการสัมผัส เมื่อมนุษย์ได้สัมผัสก็จะมีความรู้สึก และความรู้สึกจะทำให้มนุษย์นั้นคิด และความคิดนี้คือแหล่งกำเนิดแห่งความรู้ หากปราศจากการสัมผัสมนุษย์ก็จะไม่คิด เพราะจิตโดยธรรมชาติจะมีสภาพอยู่เฉย. เขาถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับนักประสบการณ์นิยมชาวบริติช ซึ่งประกอบไปด้วยเดวิด ฮูม และจอร์จ บาร์กลีย์ ล็อกมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับโทมัส ฮอบบส์
ผลงานที่สำคัญ ได้แก่
  1. An Eassy Concerning Human Understanding
  2. Two Treatises of Civil Government
พื้นฐานทางความคิด 
จอห์น ล็อค เป็นนักปรัชญาที่มีความคิดเห็นเป็นกลางๆ หลักการหาความรู้ไม่ได้เคร่งครัดอยู่กับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสหรือเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาเป็นนักประจักษ์นิยมหรือประสบการณ์นิยม เขาคิดว่าเนื้อหาของความรู้ได้มาโดยอาศัยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส และการไตร่ตรองด้วยเหตุผล เขาไม่ใช่นักประจักษ์นิยมแบบเคร่งครัด ส่วนหนึ่งเขาคล้อยตามพวกเหตุผลนิยม คือ ความเห็นหรือความเชื่อต่างๆ ต้องนำมาวิเคราะห์ไตร่ตรองด้วยเหตุผลเสียก่อน และคิดว่าไม่ควรใช้อารมณ์และความรู้สึกมาเป็นพื้นฐานในการตัดสินด้วยเหตุผล ล็อคไม่ได้ปฏิเสธความจริงทางจิตหรือวิญญาณ กฏเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติตลอดจนการเปิดเผยของพระเจ้า

ล็อคได้รับแรงกระตุ้นอย่างมากจากการอ่านงานของเดส์การ์ตส์ โดยเฉพาะเรื่องการใช้เหตุผล ล็อคพยายามวิเคราะห์ว่าเหตุผลนั้นเชื่อถือได้เพียงใด ทำอย่างไรจึงเรียกว่ามีเหตุผล เขาศึกษาเรื่องนี้อยู่นานจึงได้เขียนหนังสือเรื่อง An Essay Conerning Human Understanding ซึ่งได้วิจารณ์เรื่องความคิดติดตัวมาแต่กำเนิด

ญาณวิทยาหรือทฤษฎีความรู้ 
ล็อคสรุปว่า ความรู้นั้นอยู่ที่ความคิด คำว่าความคิด หมายถึงความคิดที่เกิดขึ้นจากวัตถุที่เรามีประสบการณ์ และต้นกำเนิดของความคิดคือประสบการณ์ ล็อคอธิบายว่าประสบการณ์ได้มาสองทางคือ ทางผัสสะ กับการไตร่ตรอง หมายความว่า ความคิดทุกความคิดเกิดจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่เรามีต่อโลก และเกิดจากการไตร่ตรองเกี่ยวกับความคิดอันเกิดจากผัสสะ การไตร่ตรองถือเป็นประสบการณ์ภายใน สิ่งที่ล็อคเน้นก็คือ เราไม่สามารถมีประสบการณ์เกี่ยวกับการไตร่ตรอง จนกว่าเราจะได้มีประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ล็อคปฏิเสธทฤษฎีความคิดติดตัว เราเกิดมาในโลกพร้อมกับความคิดติดมากับจิตของเราแล้ว

ปฏิเสธความคิดติดตัว ความคิดทุกชนิดมาจากประสบการณ์ ทฤษฎีที่ว่าความคิดหรือหลักการบางอย่างที่มนุษย์เข้าใจ ติดตัวมนุษย์มาแล้วแต่แรกเกิดนั้น เป็นเพียง ความเห็นที่กำหนดขึ้นระหว่างคนบางคน ล็อคคืดว่าความเห็นเช่นนี้เป็นอันตรายถ้ามีผู้นำไปใช้ในทางที่ผิด ล็อคพยายามชี้ให้เห็นคำสอนเรื่องความคิดติดตัวมาแต่เกิดนี้เป็นความเชื่อที่ไร้พื้นฐานที่น่าเชื่อถือเป็นอคติหรือความเห็น ไม่ใช่ความรู้ ล็อคเห็นว่า ความคิดติดตัว เป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น ล็อคเชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรที่เขาสามารถอธิบายได้ในรูปที่ว่าต้นกำเนิดของความรู้นั้นมาจากประสบการณ์

ความคิดเชิงเดี่ยวและความคิดเชิงซ้อน ความรู้คือการค้นพบวัตถุที่ทำให้เกิดความรู้จิตเปรียบเหมือนกระดาษขาว ไม่มีความคิดใดๆ อยู่ก่อนเลย ความคิดเหตุผล และความรู้ได้มาจากประสบการณ์เท่านั้น ประสบการณ์แบ่งเป็นสองอย่างคือ ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสหรือผัสสะ และประสบการณ์จากการไตร่ตรอง

ผัสสะคือ แหล่งกำเนิดทางความคิดที่ใหญ่ที่สุดที่เรามี ประสบการณ์คือ การไตร่ตรองซึ่งเป็นกิจกรรมของจิต ที่ทำให้เกิดความคิด โดยการให้ความสนใจต่อความคิดที่ได้มาโดยประสาทสัมผัส ความคิดของมนุษย์ทั้งหมดสามารถสืบสาวได้ว่า ไม่มาจากผัสสะก็ต้องมาจากการไตร่ตรอง และความคิดเหล่านี้ ถ้าไม่เป็นความคิดเชิงเดี่ยวก็ต้องเป็นความคิดเชิงซ้อน

ความคิดเชิงเดี่ยว เกิดจากวัตถุที่เป็นต้นกำเนิดของความรู้ ประสาทสัมผัสรับมาและผ่านเข้าไปในจิตในลักษณะที่เป็นหน่วยเดียวเกิดความคิดเกี่ยวกับวัตถุหรือภาพของวัตถุนั้นขึ้นในจิตของเรา เช่น ดอกมะลิสีขาวกลิ่นหอม แต่ความคิดที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงความคิดเดียวคือ ความคิดเกี่ยวกับดอกมะลิ ไม่ใช่ความคิดที่แยกเป็นความขาวและความหอม

ความคิดเชิงซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่จิตรับมาโดยตรงจากวัตถุภายนอกแต่เป็นความคิดเชิงเดี่ยวที่จิตนำมารวมกันเข้า คือ การเชื่อมโยงความคิด การนำความรู้มาอยู่ด้วยกัน และการทำความคิดให้เป็นสากล เช่น จิตรวมเอาความคิดเกี่ยวกับความขาว ความแข็ง และความหวาน มาสร้างเป็นความคิดเชิงซ้อนขึ้นเป็นก้อนน้ำตาล จิตนำเอาความคิดต่างๆ มาอยู่ด้วยกัน

คุณสมบัติปฐมภูมิและทุติยภูมิ ล็อคแยกคุณสมบัติออกเป็นสองชนิดคือคุณสมบัติปฐมภูมิกับคุณสมบัติ คุณสมบัติปฐมภูมิคือ คุณสมบัติที่มีอยู่จริงๆ ในวัตถุ ความคิดที่เกิดจากปฐมภูมิจะเหมือนกับคุณสมบัตินั้นๆ ในวัตถุ ก้อนหิมะที่เราดูว่ากลมมันก็กลมจริงๆ กำลังเคลื่อนไหว ก็เคลื่อนไหวจริง คุณสมบัติทุติยภูมิเป็นคุณสมบัติที่เกิดขึ้นในจิตของเรา แต่ไม่มีอยู่ในตัววัตถุ เรามีความคิดเกี่ยวกับเย็น เมื่อเราสัมผัสสะหิมะ และความคิดเกี่ยวกับขาว เมื่อเราเห็นหิมะ แต่ไม่มีความขาวความเย็นในก้อนหิมะ
  • คุณสมบัติปฐมภูมิหรือคุณสมบัติที่เป็นของวัตถุ ได้แก่ ความแข็ง การกินที่ รูปทรง การเคลื่อนไหว หรือการอยู่นิ่ง และจำนวน
  • คุณสมบัติทุติยภูมิ ได้แก่ สี เสียง รส กลิ่น ไม่ได้เป็นของวัตถุหรือส่วนประกอบของวัตถุ เป็นเพียงอำนาจที่ทำให้เกิดความคิดในตัวเรา
สาร 
ล็อคถือว่าสารประกอบขึ้นเป็นวัตถุที่เราสามารถรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัส สารมีสองชนิด คือ วัตถุ กับจิต

ความแน่นอนของความรู้ 
ความรู้ได้มาจากความคิด ความรู้เกิดได้ 3 ระดับคือ
  1. ความรู้จากอัชฌัตติกญาณ เป็นความรู้ที่เห็นแจ้งได้ทันที แน่นอน ไม่เป็นที่สงสัย ไม่ต้องพิสูจน์ เช่น วงกลมไม่ใช่สี่เหลี่ยม หรือ 6 ไม่ใช่ 9 เป็นต้น
     
  2. ความรู้จากเหตุผล เกิดจากการพยายามค้นหาความเข้ากันได้หรือไม่ได้ของความคิด ความคิด 2 เรื่อง เข้ากันได้โดยมีการคิดเรื่องที่ 3 เป็นตัวกลางสำหรับเปรียบเทียบความคิดที่ 3 นี้ เป็นสิ่งที่เห็นจริงแล้ว อาจได้จากประสบการณ์โดยตรงหรือเป็นสิ่งที่พิสูจน์มาแล้วจนเชื่อถือได้ ความรู้ที่ต้องอาศัยความรู้อื่นเป็นตัวกลางหรือเป็นสื่อ เรียกว่า ความรู้จากการอ้างเหตุผล
     
  3. ความรู้จากประสาทสัมผัส เป็นความรู้ที่มีความแน่นอนน้อยที่สุด โลกภายนอกเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่ความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกเป็นสิ่งไม่แน่นอน และหาขอบเขตจำกัดได้ยาก
ความรู้จากอัชฌัตติกญาณทำให้เรารู้ว่าตัวเรามีอยู่อย่างแน่นอน ความรู้จากเหตุผลแสดงให้เห็นว่าพระเจ้ามีอยู่และความรู้จากประสาทสัมผัส ทำให้เรามั่นใจว่า ตัวตน และสิ่งอื่นๆ มีอยู่ แต่มีอยู่เท่าที่มันปรากฏแก่เราขณะเรามีประสบการณ์ต่อมัน

จริยศาสตร์ 
ล็อคไม่เห็นด้วยที่ว่า กฎทางศีลธรรมเป็นกฎสากลและฝังลึกอยู่ในมโนธรรมตั้งแต่เกิด เราได้รับกฎเกณฑ์เหล่านี้จาก การศึกษา สิ่งแวดล้อม และขนบธรรมเนียมประเพณี

มนุษย์โดยธรรมชาติจะแสวงหาความสุขหรือความพอใจและหลีกเลี่ยงความทุกข์หรือความเจ็บปวด ล็อคกล่าวว่าสิ่งที่เราเรียกว่าดี คือสิ่งที่ทำให้เกิดหรือเพิ่มความพอใจ สิ่งที่ชั่วคือ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด เป็นเครื่องวัดเป็นความคิดที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า รตินิยม (Hedonism)

ล็อคคิดว่า มนุษย์มีเหตุผลเพียงพอที่ทำให้ค้นพบแบบอย่างของการประพฤติปฏิบัติตน เพื่อก่อให้เกิดความสุขความพอใจต่อส่วนรวม แบบอย่างอันนี้ก็คือกฎที่มนุษย์จะต้องกระทำตาม ล็อคแบ่งกฎออกเป็น 3 ชนิดคือ กฎแห่งความเห็น กฎของประชาชน และกฎของพระเจ้า กฎทั้ง 3 นี้ มีความสัมพันธ์กัน

กฎแห่งความเห็น เป็นการกำหนดขึ้นของสังคม ว่ามนุษย์ต้องประพฤติอย่างไรจึงจะมีความสุข คือเป็นความเห็นของคนส่วนใหญ่ในสังคม การปฏิบัติตามกฎนี้ได้ถือว่ามีคุณธรรมและคุณธรรมของแต่ละสังคมจะแตกต่างกันไปตามกฎที่สังคมนั้นๆ กำหนดขึ้น

กฎของประชาชน เป็นกฎที่กำหนดขึ้นโดยรัฐและบังคับใช้โดยศาลและกฎอันนี้มีแนวโน้มที่จะเดินตามกฎข้อแรก 
กฎของเทพเจ้า เป็นกฎที่มนุษย์จะรู้ได้ก็โดยเหตุผลของตนเองหรือโดยการเปิดเผยของพระเจ้า เป็นกฎที่เป็นจริงเพื่อเป็นจริงเพื่อเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ กฎของประชาชนควรจะต้องกำหนดให้คล้อยตามกฎของพระเจ้า

ปรัชญาการเมือง 
ล็อคเริ่มต้นทฤษฎีการเมืองของเขาเหมือนกับฮอบส์ คือเริ่มจากการกล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์และสภาวะธรรมชาติ สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ทุกคนมีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์คนสามารถกระทำตามที่ตนเลือกภายในขอบเขตที่กฎธรรมชาติกำหนดไว้ สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ทุกคนมีความเสมอภาคมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีผู้ใดมีสิทธิและอำนาจมากกว่าผู้ใดนี่เป็นสิทธิตามธรรมชาติ เป็นสิทธิที่มีอยู่ก่อนการเกิดของสังคมการเมือง คนเสมอภาคกันในแง่ของสิทธิ ไม่ใช่เสมอกันในความสามารถ

มนุษย์มีความจำเป็นต้องเข้ามารวมกันเป็นสังคมการเมืองและจัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยการรวมกันในลักษณะเป็นสัญญาประชาคม 
สัญญาประชาคมของล็อคมีสองลักษณะคือ เป็นสัญญาระหว่างปัจเจกชนที่มารวมกันเป็นสังคม สัญญานี้ไม่มีการบังคับเป็นการยินยอมพร้อมใจของบุคคลยอมสละสิทธิและเสรีภาพในสภาวะธรรมชาติบางประการ เพื่อให้เกิดประชาคมโดยหวังจะทำให้การดำรงชีวิตสะดวกสบาย ปลอดภัย และสงบสุขยิ่งขึ้น

การปกครองสังคมนั้นจะต้องเป็นไปตามเสียงข้างมาก เพราะเสียงข้างมากนั้นสะท้อนให้เห็นเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ในสังคม 
ล็อคเห็นว่า รัฐบาลจะต้องให้ความคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่โอนให้ใครไม่ได้ และปกป้องสิทธิเสรีภาพของบุคคลให้พ้นจากอำนาจทางการเมือง นั่นคือรัฐบาลจะเข้าไปก้าวก่ายสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเกินกว่าที่ประชาชนได้ยอมสละให้แล้วไม่ได้ ความคิดทางการเมืองของล็อค มีอิทธิพลในทาปฏิบัติไม่น้อย ความคิดเรื่องสิทธิในทรัพย์สินส่วนอิทธิพลต่อการปฏิวัติในฝรั่งเศสและอเมริกา

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

แหล่งค้นคว้าปรัชญาออนไลน์


1. ห้องสมุดบ้านจอมยุทธ

ปรัชญาโลกตะวันตก


พลาโต้ (Plato)
เกิด พ.ศ. 116-196 มีชื่อเดิมว่า อาริสโตเคล็ส (Aristocles) ที่กรุงเอเธนส์ พลาโต้ได้ฟังปรัชญาจากโสคราตีสเมื่อตนได้มีอายุได้ 20 ปีแล้ว จนกระทั่งโสคราตีสถูกประหารชีวิตในปีพ.ศ.144 ต่อมาได้ศึกษาปรัชญาของยูคลิเดส (Euclides) ผู้เป็นลูกศิษย์ของโสคราตีส ซึ่งได้นำปรัชญาของโสคราตีสเข้ากับปรัชญาของปาร์มีนิเดส และยังได้ศึกษาปรัชญาจากสำนักของไพธากอรัส ที่กรุงเอเธนส์นั้น ท่านวางมือจากการเมืองที่ยุ่งเหยิง และเลือกดำเนินชีวิตอย่างนักปรัชญา โดยสร้างคนให้เป็นนักปรัชาและนักปกครองที่ดี พลาโต้ตั้งสำนักแห่งหนึ่งชื่อว่า อะคาเดมี (Academy) ให้การศึกษาแก่เยาวชนกรีก นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของกรีก โดยให้เด็กหนุ่มที่ต้องการศึกษา มุ่งมาสมัครเรียนที่นั้น พลาโต้เห็นว่า “นักปกครองที่ดีต้องมีความรู้ทั้งที่เป็นวิทยาศาสตร์ และปรัชญาการเมือง” วิชาหลักที่คงอยู่ที่ใช้ทำการสอน ได้แก่ คณิตศาสตร์และปรัชญาการเมือง พลาโต้มีศิษย์คนสำคัญชื่อว่า อารีสโตเติ้ล เป็นผู้ที่เข้าศึกษาที่อะคาเดมี ในเวลาต่อมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมาก พลาโต้ได้เขียนบทสนทนาเรื่อง “กฎหมาย” (Laws) มีความยาวถึง 12 เล่ม งานนิพนธ์ของพลาโต้แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ บทสนทนาระยะแรก,ระยะที่สอง,ระยะที่สาม ซึ่งจะมีตัวละครแสดงบทสนทนาต่างๆ โดยสมมติให้ตัวละครเป็นตัวของท่าน และบุคคลอื่น ๆ เป็นต้น คำสอนที่ถือว่าเป็นหัวใจปรัชญาของพลาโต้ คือทฤษฎีมโนคติหรือแบบคำสอนอื่น ๆ เช่น ทฤษฎีความรู้ จริยศาสตร์ ศิลป และการเมือง ล้วนมีรากฐานมาจากทฤษฎีมโนคติ ดังนั้น เราจะพบว่า ปรัชญาแต่ละประเด็นของพลาโต้ เกาะกลุ่มกันเป็นระบบโดยมีทฤษฎีมโนคติเป็นแกนกลาง พลาโต้เป็นคนแรกที่สอนปรัชญาอย่างเป็นระบบ ท่านเห็นว่าความรู้ระดับผัสสะ หรือสัญชาน ไม่ใช่ “ความรู้” การรับรู้ในระดับสัญชานเป็นเพียง “ทัศนะ” การปฏิเสธสัญชานว่าเป็นบ่อเกิดความรู้นี้มีเหตุผลสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ

1) สัญชานของแต่ละคนให้ความรู้เป็นตรงกัน
2) สัญชานไม่ช่วยให้เราค้นพบความจริงแท้

โดยนัยนี้ ในทัศนะของพลาโต้ ความรู้ที่แท้จริงไม่ได้มาจากผัสสะหรือสัญชาน แต่ความรู้ที่แท้จริงได้มาจากเหตุผล ข้อแตกต่างระหว่างอาจารย์กับศิษย์อยู่ตรงที่ว่า สำหรับโสคราตีส ความรู้หมายถึงการค้นพบมโนภาพ (Concept) แต่สำหรับพลาโต้ ความรู้หมายถึงการค้นพบมโนคติ (Idea) ในความคิดของพลาโต้นั้น ท่านได้แบ่งลักษณะความคิดออกเป็น 4 อันดับ คือ จินตนาการเป็นขั้นต่ำสุด ที่สูงขึ้นมาตามลำดับคือความเชื่อ และการคำนวณ ส่วนขั้นสูงสุดคือพุทธิปัญญา การจัดอันดับมีเหตุผลดังนี้ คือ

1.จินตนาการ (Imagining) ให้ความหมายที่ว่า ขณะที่ตาสัมผัสกับภาพของสิ่งใดสิ่งหนึ่งการรับรู้ได้เกิดขึ้น ประสาทตาารายงานภาพที่เห็นไปที่จิต ภาพของสิ่งนั้นที่จิตรับรู้ในขณะนั้นเป็นจินตภาพ (Image) การรับรู้จินตภาพเรียกว่า “จินตนาการ” เป็นการรับรู้ขั้นต่ำสุด เพราะภาพที่จิตคิดเห็นเป็น “ภาพเหมือน” หรือ”เงา” หากใครไปยึดมั่นในภาพเหมืนหรือจินตภาพ เขาก็กำลังนี้จากความจริงนั่นเอง

2.ความเชื่อ (Belief) ความหมายที่ว่า เมื่อเราคิดถึงใครสักคน เราสร้างจินตนาการคิดถึงรูปร่างหน้าตากิริยาท่าทางของเขา แต่เขาคนนั้นที่เราเห็นในจินตภาพย่อมสู้ที่เราเห็นและได้พบปะตัวจริงไม่ได้ การได้พบตัวจริง ถือว่าเป็นความรู้ระดับสัญชาน ท่านเรียกความรู้ระดับนี้ว่าความเชื่อ จะเห็นว่าสัญชานให้ความรู้ที่ขัดแย้งตัวเอง เช่น น้ำทะเลปรากฏแก่สายตาเราเป็นสีน้ำเงิน แต่พอเราเอาภาชนะตักน้ำขึ้นมาเราเห็นเป็นน้ำใสเป็นต้น ดังน้น ใครเห็นอะไรเป็นจริงจึงเป็นเพียงความเชื่อ คือยอมรับว่าจริงไปพลาง ๆ ก่อน

3. การคำนวณ (Reasoning) การคำนวณทางคณิตศาสตร์ เป็นก้าวจากโลกแห่งผัสสะสู่โลกแห่งเหตุผล ในโลกแห่งผัสสะ เรารับรู้สิ่งเฉพาะ แต่ในโลกแห่งเหตุผล เราค้นพบสิ่งสากล นักคณิตศาสตร์อาศัยสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งเฉพาะเพื่อเป็นทางผ่านเข้าสู่สิ่งสากล เช่น นักคณิตศาสตร์ลากเส้นตรงในหน้ากระดาษ เพื่อประกอบการคำนวณ เส้นตรงนั้นอาจจะคดเคี้ยวบ้าง แต่ไม่ทำให้การคำนวณผิดพลาด เพราะอะไร ? เพราะเส้นตรงนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์หรือตัวแทนของเส้นที่ตรงที่สุด ในการคำนวณนักคณิตศาสตรืไม่ได้กำลังพูดถึงสิ่งเฉพาะคือเส้นตรง ที่ปรากฏในหน้ากระดาษนั้น แต่เขาพูดถึงสิ่งที่เป็นสากลอยู่ เขาแยกสัญลักษณ์หรือสิ่งที่เห็นด้วยตาออกจากมโนคติ หรือสิ่งที่เห็นด้วยเหตุผลบริสุทธิ์ ดังนั้น พลาโต้จึงจัดความรู้ของนักคณิตศาสตร์ไว้ในขั้น”ความรู้” เพราะเขาค้นพบมโนคติบางหน่วย แต่นักคณิตศาสตร์ยังอาศัยสัญลักษณ์และยังตั้งสมมติฐาน (Hypothesis) โดยยอมรับว่าสมมติฐานเป็นสิ่งที่เห็นจริงแล้ว ความรู้ของนักคณิตศาสตร์ จึงอยู่ในวงจำกัดของสัญลัษณ์และสมมติฐาน

4.พุทธิปัญญา (Intelligence) หมายถึง สภาพจิดใจที่รับรู้มโนคติโดยตรง ในขั้นนี้ จิตเป็นอิสระจากสิ่งที่รับรู้ด้วยประสาทสัมผัส จิตเข้าถึงมโนคติได้โดยไม่ต้องผ่านสัญลักษณ์ และจิตไม่จำเป็นต้องใช้สมมติฐานในการค้นหาความจริง เมื่อไม่มีสมมติฐาน ข้อจำกัดของความรู้จึงไม่มี เหตุนี้จิตจึงค้นพบเอกภาพของมโนคติทั้งหลาย นั่นคือ จิตพบว่ามโนคติทั้งหมดอยู่ภายใต้มโนคติควาามดีและรวบรวมมโนคติทั้งหมดไว้ได้ก็ด้วยพลังของจิต พลาโต้เรียกพลังชนิดนี้ว่า “วิภาษวิธี”(Dialectic) ดังนั้น พุทธิปัญญา จึงเป็นความรู้ที่แท้จริง เพราะเข้าถึงความจริงสูงสุด คือมโนคติ เราย้อนหลังไปยุคแรก ๆ นักปรัชญายุคเริ่มต้นได้สอนว่า แก่นแท้ของสรรพสิ่งเป็นสสารในรูปใดรูปหนึ่ง แต่พลาโต้เสนอใหม่ว่า แก่นแท้ของสรรพสิ่งไม่ใช่สสาร แต่เป็นมโนคติที่ไม่กินที่ ไม่มีรูปร่าง คำสอนของพลาโต้ยังได้หักล้างปรัชญาของโซฟิสสต์ผู้สอนว่า ความรู้แท้จริงอันเป็นมาตรฐานสากลไม่มี เพราะว่าสิ่งที่เรารับรู้เป็นสสารที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในที่นี้ พลาโต้แย้งว่า ความรู้ที่แท้สมบูรณ์มีอยู่ เพราะสิ่งที่เรารับรู้ไม่ใช่สสารวัตถุ แต่เป็นมโนคติที่เป็นอมตะและไม่เปลี่ยนแปลง ทัศนะมโนคติของพลาโต กล่าวว่า มโนภาพเป็นอันเดียวกับสิ่งสากล และมโนคติ คือ มโนภาพที่มีอยู่จริงภายนอกความคิดคือ ”สิ่งสากลที่มีอยู่จริงภายนอกความคิด “หรือ”สิ่งสากลที่มีอยู่จริงแบบปรนัย” พลาโตยืนยันว่า สิ่งสากลมีอยู่จริง จึงไม่ใช่สิ่งที่เราคิดขึ้นเอง มันไม่ใช่ผลผลิตของความคิด สิ่งสากลมีอยู่ก่อนหน้าที่เราคิด และแม้เราจะเลิกคิดถึง สิ่งสากลก็ยังคงมีอยู่ตลอดไปเป็นนิจนิรันดร “พลาโตเรียกสิ่งสากลอันเป็นความจริงอมตะนั้นว่ามโนคติหรือแบบ ดังนั้นลักษณะของมโนคติสรุปโดยทั่วไป คือ
  1. มโนคติ หมายถึง สิ่งสากล
  2. มโนคติ มีจำนวนมาก แต่ความหมายของมโนคติมีข้อจำกัด กล่าวคือ สิ่งเฉพาะชนิดหนึ่งมีมโนคติเพียงหนึ่งเดียว
  3. มโนคติ เป็นสิ่งที่เรารู้ได้ด้วยเหตุผล
  4. มโนคติเป็นความจริงปรนัย
  5. มโนคติเป็นสิ่งไม่กินที่
  6. มโนคติไม่ขึ้นกับเวลา
พลาโตได้ตั้งทฤษฎีสองโลกขึ้น คือโลกแห่งผัสสะกับโลกแห่งมโนคติ นี่เป็นคำถามเกี่ยวข้องกันระหว่างมโนคติกับสิ่งเฉพาะ ท่านกล่าวว่า สิ่งเฉพาะเป็น “แบบจำลอง”หรือ”สิ่งเลียนแบบ” สิ่งเฉพาะขอยืมความจริงมาจากมโนคติ สิ่งเฉพาะเป็นจริงก็ต่อเมื่อมันมีส่วนเหมือนมโนคติ เช่น โสคราตีส เป็นสิ่งเฉพาะที่เป็นแบบจำลองมาจากมโนคติของคน แบบจำลองมีความเป็นจริงน้อยกว่ามโนคติ มโนคติมีความจริงแท้สูงสุด เราสังเกตเห็นว่า พลาโตเปลี่ยนทฤษฎีมโนภาพของโสคราตีสเป็นทฤษฎีมโนคติ โดยทำมโนภาพให้กลายเป็นสิ่งที่มีความจริงในตัวเอง ผลที่ออกมาก็คือ มโนภาพกลายเป็นมโนคติที่มีความจริงแบบปรนัย และเป็นสิ่งที่คงที่ถาวร ในการอธิบาย”ลักษณะ”ของมโนคติเช่นนั้น ท่านหยิบยกเอาลักษณะของภาวะ (Being) ในปรัชญาของปาร์มีนิเดสมาสวมใส่ให้กับมโนคติ เหตุนั้นมโนคติจึงมีลักษณะเช่นเดียวกับภาวะของปาร์มีนิเดส คือความเป็นจริงแท้สูงสุดและเป็นสิ่งคงที่ถาวรไม่เคยเปลี่ยนแปลง ท่านไม่ยอมรับทัศนัของปาร์มีนิเดสที่ว่า ความจริงแท้หรือภาวะ เป็นสิ่งเนื้อเดียวกันแบ่งแยกไม่ได้ ท่านเสนอว่าความจริงแท้หรือมโนคติมีหลายชนิดและเกาะกลุ่มกันอย่างมีระบบในโลกแห่งมโนคติ ความจริงแท้มีมากหลายแต่ก็อยูอย่างมีเอกภาพ ท่านได้แนวความคิดเรื่องเอกภาพในความมากหลายนี้มาจาก เฮราคลีตุส ผู้มีทัศนะว่า สิ่งที่แตกต่างกันรวมตัวเป็นเอกภาพ ภายใต้การควบคุมของวจนะ (Logos) ท่านนำหลักการนี้มาสร้างเป็นกฏแห่งความสัมพันธ์ระหว่างมโนคติทั้งหลาย เราได้พบร่องรอยของแนวความคิดเรื่องภาวะในปรัชญาของปาร์มีนิเดส และวจนะในปรัชญาของเฮราคลีตุสผสมผสานอยู่ในทฤษฎีมโนคติของพลาโต นี่เป็นตัวอย่างของการประนีประนอม หลักการที่ขัดแย้งกัน พลาโตยังยอมรับแนวความคิดที่ว่า ความจริงแท้เป็นสิ่งไม่เปลี่ยนแปลงมาจากปาร์มีนิเดส ท่านยืนยันว่าโลกแห่งมโนคติไม่เคยเปลี่ยนแปลง และพลาโตยังยอมรับทฤษฎีแห่งความเปลี่ยนแปลงของเฮราคลีตุสโดยกล่าวว่า โลกแห่วผัสสะเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง แต่โลกแห่งผัสสะไม่ใช่ความจริงแท้สำหรับพลาโต ท่านให้ทัศนะเรื่องจักรวาลวิทยาว่า เป็นการศึกษาที่ว่าด้วยเรื่องวิญญาณและความสัมพันธ์ระหว่างวิญญาณกับพฤติกรรมของมนุษย์ โดยท่านได้แบ่งวิญญาณเป็น 2 ส่วนคือ

วิญญาณแห่งเหตุผล (Rational Soul ) เป็นวิญญาณที่จุติจากโลกแห่งมโนคติมาประจำอยู่ในกายเนื้อ พระเจ้าทรงสร้างวิญญาณเหล่านี้ให้เป็นอมตะ

วิญญาณไร้เหตุผล (Irrational Soul) เป็นวิญญาณที่ประจำอยู่กับร่างกายเกิดและดับพร้อมกับร่างกายจึงไม่เป็นอมตะ เทวดาเป็นผู้สร้างร่างกาย และวิญญาณส่วนนี้ของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านี้ วิญญาณส่วนที่ 2 นี้ยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น 2 ส่วนคือ
  • วิญญาณฝ่ายสูง เรียกว่า วิญญาณแห่งเจตนารมณ์ (Spirited Soul)
  • วิญญาณฝ่ายต่ำ เรียกว่า วิญญาณแห่งความต้องการ (Appetitive Soul)
รวมความว่าวิญญาณของมนุษย์มีอยู่ 3 ส่วน คือ วิญญาณแห่งเหตุผล วิญญาณแห่งเจตนารมณ์ และวิญญาณแห่งความต้องการ ดังนั้น สิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ ก็คือเหตุผล เพราะมนุษย์เท่านั้นมีวิญญาณแห่งเหตุผล ในทัศนะเรื่องความเวียนว่ายตายเกิด พลาโตกล่าวว่า วิญญาณแห่งเหตุผลเป็นอมตะจึงสามารถล่องลอยอยู่ได้ โดยไม่ต้องอาศัยกายเนื้อ ท่านเห็นว่า วิญญาณยังอยู่เป็นอมตะจึงมีอยู่เที่ยงแท้เป็นนิรันดร ความรู้ทุกอย่างเป็นการฟื้นความทรงจำถึงมโนคติที่วิญญาณเคยพบมาก่อน ที่จะถือกำเนิดในชาติปัจจุบัน เหตุนั้นวิญญาณเป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนร่างกาย และสามารถจะอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยกายเนื้อ และวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งจากส่วนประกอบ วิญญาณเป็นหน่วยย่อยที่สุด มันไม่ใช่สังขารแต่เป็นวิสังขาร เพราะเหตุนั้น วิญญาณจึงไม่ดับสลาย เพราะมันไม่ใช่ชิ้นส่วนสำหรับแตกกระจายจากกันและกัน จึงสรุปได้ว่า วิญญาณเป็นตัวการทำให้เกิดชีวิต แต่ชีวิตตรงข้ามกับความตาย ดังนั้น วิญญาณเป็นสิ่งไม่ตาย ในปัญหาด้านจริยาศาสตร์นั้น พลาโตคัดค้านโซฟิสต์ในความคิดที่โซฟิสต์เผยแพร่คำสอนโจมตีกฏเกณฑ์ทางสลศีลธรรมของชาวกรีกที่เชื่อถือและปฏิบัติสืบต่อกันตามประเพณี อันศีลธรรมนั้นเป็นบ่อเกิดของความดีงาม ท่านให้ทัศนะว่า “มีสิ่งที่เป็นความดีและสิ่งที่เป็นความพึงพอใจ แต่ความพึงพอใจไม่ใช่อันเดียวกันกับความดี และการแสวงหากับวิธีการเพื่อให้ำด้มาซึ่งสิ่งทั้งสองก็เป็นคนละอย่าง การแสวงหาความพึงพอใจเป็นอย่างหนึ่ง ส่วนการแสวงหาความดีก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง” พอสรุปได้ว่า

หากเชื่อตามที่โซฟิสต์กล่าวว่า ความดีคือความพึงพอใจของแต่ละคน ความดีในตัวเองจะไม่มีอยู่ เมื่อไม่มีมาตรการชี้ขาด การจะกำหนดลงไปว่าอะไรดีอะไรชั่วก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าถือว่า ความดีคือสิ่งที่แต่ละคนชอบ พลาโตกล่าวว่า ความรู้สึกของคนเราที่มีต่อสิ่งต่าง ๆ ย่อมผิดแผกกันไป ซึ่งพลอยทำให้คนเราตัดสินความดีไม่ตรงกัน ท่านเห็นว่า ทฤษฎีทางศีลธรรมของคน มีรากฐานอยู่บนคุณลักษณะอันเป็นสากลของมนุษย์ทุกคน คุณลักษณะอันนั้นคือเหตุผล ดังนั้นเหตุผลคือ ความรู้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการทำความดี และท่านได้แบ่งแยกคุณธรรม หรือการทำความดีออกเป็น 2 ระดับ คือ คุณธรรมทางสังคม กับคุณธรรมทางปรัชญา การที่คนเราทำตามค่านิยมที่สังคมยอมรับ และให้การยกย่อง โดยไม่รู้เหตุผลว่าทำไมจึงเป็นความดี ในลักษณะนี้ท่านเรียกการทำความดีลักษณะนี้ว่า คุณธรรมทางสังคม และอีกประการหนึ่ง การทำความดีที่ประกอบด้วยเหตุผล มีความรู้ว่าการกระทำนั้นไปสู่จุดหมายสูงสุดอันใด การทำความดีด้วยเหตุผลนั้น พลาโตเรียกว่า คุณธรรมทางปรัชญา ดังนั้นในทัศนะของพลาโตว่า สิ่งที่เป็นความดีสูงสุด ได้แก่ มโนคติแห่งความดี (Idea of The Good) และท่านยังกล่าวถึง วิธีปฏิบัติเพื่อให้บรรลุจุดหมายสูงสุดของชีวิต ท่านเรียกว่า คุณธรรม การปลดเปลื่องหรือความหลุดพ้นจากความชั่วจะมีไมีได้ ถ้าปราศจากการได้มาซึ่งคุณธรรมชั้นสูงและปัญญา คุณธรรมที่สำคัญนี้ ได้แก่ พุทธิปัญญา

ในทัศนะของพลาโตกล่าวว่า คนดี คือ ผู้มีคุณธรรม คนดีเป็นคนมีปัญญา (Wisdom) ความกล้าหาญ (Courage) การรู้จักประมาณ (Temperance) ความยุติธรรม (Justice) นี่คือเกณฑ์ตัดสินว่าใครดีใครชั่ว คนจะดีหรือจะเลวไม่ใช่ดังที่โซฟิสต์กล่าวว่า คนจะดีหรือเลวเราดูกันที่คุณธรรม ข้อสังเกต เราจะเห็นข้อขัดแย้งปรัชญาของพลาโตเหมือนกัน คือ โลกแห่งมโนคติเท่านั้นที่ทีความจริงแท้ ส่วนโลกแห่งผัสสะไม่มีความเป็นจริงในตัวเอง สิ่งเฉพาะต่าง ๆ ที่เรามองเห็นในโลกแห่งผัสสะก็ไม่ใช่ของจริง ซ้ำยังอำพรางความจริงเกี่ยวกับมโนคติ ดังนั้น โลกแห่งผัสสะจึงเป็นดินแดนแห่งความชั่วร้าย คุณธรรมแท้จริงของมนุษย์ คือการปลดเปลื่องวิญญาณจากโลกแห่งผัสสะเพื่อกับสู่โลกแห่งมโนคติ เราควรโบยบินจากโลกนี้ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าถือตามัยนนี้ ปรัชญาหรือความรู้จักมโนคติ จะเป็นความดีสูงสุดเพียงประการเดียว และหลักการอีกนัยหนึ่งที่พลาโตกล่าว คือ สิ่งเฉพาะที่เราพบเห็นด้วยประสาทสัมผัสเป็นสิ่งจำลองมโนคติ โลกแห่งผัสสะเป็นดินแดนที่มโนคติ “เปิดเผย” ตัวเอง ดังนั้น การพบเห็นสิ่งเแฑาะจะช่วยเตือนให้วิญญาณนึกถึงมโนคติขึ้นมาได้ เพราะหลักการที่พลาโตได้สอนนี้ท่านเสนอว่าเป็น”ทางสายกลาง” อันทำให้ชีวิตกลมกลืนกัน ในเรื่องทางการเมืองนั้น พลาโตได้เสนอทฤษฎีการเมืองเพื่อเป็นการตอบปัญหาเหล่านั้น คือ รัฐที่ดีควรยึดระบอบการปกครองใด ? อำนาจสิทธิ์ขาดควรอยู่ที่ใคร ? อะไรคือคุณธรรมของนักปกครอง ? ประชาชนควรมีสิทธิ์เสรีภาพมากเพียงใด ? ท่านกล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การอยู่ร่วมกันเป็นสังคม เหตุนั้น รัฐจึงเป็นสถาบันที่จำเป็นต้องมี รัฐต้องประกอบด้วยบุคคลที่มีวิญญาณ 3 ส่วน 3 ระดับ คือ
  1. นักปกครองได้แก่ผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นพิเศษ เพื่อเป็นผู้นำของรัฐ
  2. พิทักษชน คือ ผู้ทำหน้าที่ทหารตำรวจและข้าราชการพลเรือน
  3. ราษฎร คือ ชนชั้นที่ถูกปกครอง
สรุปลักษณะสำคัญของรัฐในอุดมคติด้วยประโยคว่า“กลูคอน, สิ่งที่เราเห็นพ้องกันแล้วก็คือว่าในรัฐที่ดีสมบูรณ์ สตรีและเด็กควรเป็นของส่วนรวม, บุรุษและสตรีควรมีส่วนได้รับการศึกษา และประกอบอาชีพเท่าเทียมกันทั้งในยามสงบและยามมีศึกสงคราม, และพวกเขาควรถูกปกครอง โดยกลุ่มคนผู้เป็นเลิศในปรัชญาและการสงคราม” นี่แสดงว่า ระบอบการปกครองที่ดีที่สุดในทัศนะของพลาโต คือ อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) ที่อำนาจอยู่ใในความสิทธิ์ขาดของบุคคลชั้นสูง ผู้ถูกคัดเลือกโดยระบบการศึกษา ไม่ใช่ผู้มาจากตระกูลมั่งคั่งหรือผู้ดี ชนชั้นพิเศษนี้จะสับเปลี่ยนกันรับตำแหน่งกษัตริย์นักปรัชญา ดังนั้นเรามาสรุปปรัชญาขอพลาโตได้ดังนี้ คือ ปรัชญาของพลาโตทุกอย่างมีความสัมพันธ์กัน ถ้ามองในด้านอภิปรัชญาก็เป็นสัจจนิยม เพราะถือว่า ความจริงแท้มีอยู่เป็นปรนัยภายนอกจิต และเป็นมโนคตินิยม เพราะถือว่า ความจริงแท้นั้นเป็นมโนคติ ในด้านญาณวิทยา เป็นเหตุผลนิยมเพราะถือว่า บ่อเกิดความรู้อยู่ที่เหตุผลไม่ใช่ประสาาทสัมผัส คนเรารู้จักมโนคติด้วยเหตุผล ในด้านจักรวาลวิทยาปรัชญาของท่านเป็นทวินิยมเพราะเห็นว่า ส่วนประกอบที่ทำให้เกิดโลกแห่งสัมผัสมี 2 อย่างคือ มโนคติและสสาร เป็นเทวนิยมเพราะยอมรับว่า มีพระเจ้าผู้สร้างโลก ในด้านจริยศาสตร์ เป็นสหัชญาณนิยม เพราะถือว่าจุดหมายสูงสุดของชีวิตอยู่ที่ความหลุดพ้นของวิญญาณที่เพ่งพินิจมโนคติ ในด้านการเมืองเป็นสังคมมนิยม พราะกำหนดให้ทรัพย์สินของนักปกครอง และพิทักษชนเป็นสมบัติส่วนกลาง ปรัชญาของพลาโตมีอิทธิพลมากต่อนักปรัชญาตะวันตกยุคนั้น ในด้านสุนทรีศาสตร์ (Aesthetics) ของพลาโตนั้น คืองานด้านความงามและศิลปะ ในสมัยพลาโตยังไม่มีการแยกคำสอนด้านสุนทรีศาสตร์ออกมา ดังนั้นจึงแทรกปะปนอยู่กับสาขาอื่น ๆ ควาามงามย่อมแทรกอยู่ในงานอื่น เช่น การล่าสัตว์ การก่อสร้าง การเล่นกีฬาและการดำรงชีวิตด้วยคุณธรรม สิ่งใดมีความงาม ก็เพราะสิ่งนั้นมีส่วนรวมกับมโนคติของความงาม งานด้านศิลปะเป็นสิ่งที่งามเพราะมันเรียนแบบมโนคติขิงความงาม งานด้านศิลปะไม่อาจนับเป็นงานที่ดีที่สุด ความงามที่แท้จริงอยู่ในโลกแห่งมโนคติ เมื่อได้ชมความงามด้านศิลปะแล้ว ก็เลื่อนลำดับขั้นชมความงามของร่างกาย, วิญญาณ, สถาบันและกฏหมาย จากนั้นก็ศึกษาคณิตศาสตร์ ซึ่เป็นบันไดส่งให้ถึงมโนคติของความงาม โดยนัยนี้ ความงามที่สมบูรณ์ไม่ใช่สิ่งที่รู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส แต่เป็นสิ่งที่ต้องเพ่งพินิจด้วยเหตุผลหรือพุทธิปัญญา ในด้านศิลปะนั้นพลาโตเห็นว่า”ศิลปะคือการเลียนแบบ” ภาพคนที่ปรากฏโดยฝีมือจิตรกรเป็นสิ่งเลียนแบบมาจากคนจริง ๆ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งมาจากคนจริง เหตุนั้นสิ่งเลียนแบบเกิดจากมโนคติของคน ท่านเห็นว่าศิลปะไม่มีคุณค่าในตัวเอง ท่านไม่เชื่อเรื่องศิลปะ ในทัศนะของท่านเห็นว่า ศิลปะจะมีค่าก็ต่อเมื่อมันส่งเสริมศีลธรรมหรือให้ความรู้ด้านปรัชญา โดยท่านตั้งเงื่อนไขไว้ 3 ประการ
  1. ศิลปะต้องเลียนแบบได้เหมือนของจริงต้นฉบับ
  2. ศิลปะต้องส่งเสริมศีลธรรม คือเป็นเครื่องมือสั่งสอนให้ประชาชนรู้จักความดี
  3. ศิลปะจะต้องก่อให้เกิดความพึงพอใจ
สังเกตเห็นว่า พลาโตมองศิลปะว่ามีค่าต่ำ เพราะท่านถือเป็นเพียงทางผ่านไปสู่ปรัชญา ดังนั้นพลาโตไม่อาจให้ความเป็นธรรมแก่ศิลปะ เพราะท่านไม่อาจแยกศิลปะออกจากปรัชญานั้นเอง


http://www.baanjomyut.com/library_3/extension-1/western_philosophy/16.html


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

อาริสโตเติ้ล (Aristotle)
เกิดเมื่อ พ.ศ. 159 ที่สตากิรา ในแคว้นเธรซ ท่านเป็นศิษย์ของพลาโต และท่านเป็นนักปรัชญาคนสุดท้ายของกรีกสมัยรุ่งเรือง ท่านเกิดในตระกูลแพทย์จึงมีนิสัยรักการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ต่อมาท่านได้ศึกษาชีววิทยา โดยเฉพาะชีวิตสัตว์ทะเล ท่านได้ตั้งสำนักของตนขึ้นเรียกว่า ลีเซอุม (Lyceum) และต่อมาได้สร้างห้องสมุดเพื่อสะสมหนังสือและอุปกรณ์การสอน ส่วนที่เหมือนกันระหว่างพลาโตและอริสโตเติ้ล คือรัฐและสังคมเป็นธรรมชาติ เมื่อมนุษย์ต้องมีสังคมร่วมกัน การมีรัฐและสังคมที่ดี ย่อมทำให้เกิดความสุขได้ดีที่สุด

ทัศนะนี้จึงเป็นทัศนะในเรื่องโลกแห่งประสบการณ์ของท่านนั้นเอง อีกทัศนะหนึ่งเรื่องโลกแห่งแม่แบบ ท่านเชื่อความเป็นจริงของแม่แบบ เพราะความงามเป็นแม่แบบของวัตถุงามทั้งหลาย ท่านไม่เชื่อพลาโตที่ว่า แม่แบบคือแบบของความงามอยู่แยกต่างหากจากวัตถุ ตามความคิดของอริสโตเติ้ลนั้น วัตถุงามคือวัตถุที่มีแบบของความงามอยู่ในตัวของวัตถุนั้น ไม่ใช่วัตถุนั้นเลียนแบบ แบบของความงามในโลกอื่นซึ่งอยู่แยกต่างหากออกไปจากวัตถุ และจากทัศนะนี้จึงนำไปสู่ทัศนะที่ว่า สรรพสิ่งต้องมีแบบหนึ่งแบบใดเป็นแบบประจำตัวหรือเป็นแบบเฉพาะตัว เช่น วัตถุงามต้องมีความงามเป็นแบบและสรรพสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่แบบเฉพาะของตนในที่สุด เขาเชื่อว่าแบบของมนุษย์คือจิต จิตของมนุษย์มีลักษณะที่แตกต่างจากสัตว์ทั้งหลายคือคิดหาเหตุผลหรือมีเหตุผล ดังนั้นการมีเหตุผลจึงเป็นแบบที่มนุษย์ต้องพยายามบรรลุถึงในที่สุด เพื่อนำไปสู่แบบเฉพาะของตนนั้นเอง ซึ่งวิถีชีวิตที่แสดงถึงความสำเร็จของมนุษย์ในแง่ของการบำรุงเลี้ยงจิตแห่งเหตุผลมี 2 รูปแบบ คือ
  1. ชีวิตที่มีเหตุผล หมายถึงชีวิตที่สามารถประพฤติทางสายกลาง (The mean) ไม่มากไม่น้อยอย่างเหมาะสม 
  2. ชีวิตที่ตริตรองถึงสัจจะ ไม่ใช่เพียงใช้เหตุผลเท่านั้น แต่หมายถึงการใช้ชีวิตในลักษณะที่ตริตรองถึงสัจจะที่เหนือกว่าการแสวงหาความเหมาะสมเท่านั้น อริสโตเติ้ล มีความเห็นว่า “ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์อยู่ที่การแสวงหาสัจจะ ผู้มีชีวิตเพื่อการแสวงหาสัจจะ เรียกว่ามีคุณธรรมทางปัญญา (Intellectual Virtues)
สรุปความเห็นของอริสโตเติ้ลได้ว่า ชีวิตที่ดีสำหรับมนุษย์ก็คือชีวิต ที่มีคุณธรรมทางศีลธรรม คือมีความประพฤติที่เหมาะสม และชีวิตที่มีคุณธรรมทางปัญญา คือการตริตรองถึงสัจจะ ดังนั้นเมื่อโยงไปถึงสังคมและรัฐ จึงต้องมีคุณธรรมทางศีลธรรม และมีคุณธรรมทางปัญญานั่นเอง จึงเท่ากับมนุษย์ได้บรรลุแบบเฉพาะของตน และได้รับความสุขด้วย เราจะสัเกตได้ว่า ปรัชญาของท่านมีแนวโน้มเอียงทางการเมืองเป็นอย่างยิ่ง และในสมัยกลางก็เกิดปรัชญาการเมืองขึ้น โดยนักปรัชญารุ่นต่อมา ปรัชญาเหล่านั้นได้ถูกดึงไปเป็นเครื่องมือสำหรับอธิบายและส่งเสริมคำสอนของศาสนาคริสต์ให้ดูมีเหตุผลยิ่งขึ้น คือมีลักษณะส่งเสริมและยกย่องพระเจ้า


http://www.baanjomyut.com/library_3/extension-1/western_philosophy/17.html