วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน
นิมิตรมงคล.jpg
เกิด21 เมษายน พ.ศ. 2451
เสียชีวิต11 เมษายน พ.ศ. 2491 (39 ปี)
สัญชาติไทย
รู้จักในสถานะนักเขียนชาวไทย
คู่สมรสคุณหญิงบรรจบพันธุ์ (สังขดุลย์) นวรัตน์ ณ อยุธยา (2461–2541)
บุตรหม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน
หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน (21 เมษายน 2451 — 11 เมษายน 2491) นักเขียนชาวไทย อดีตนายเรืออากาศที่ต้องโทษในคดีกบฏบวรเดช พ.ศ. 2476 ผู้มีผลงานเขียนวิพากวิจารณ์รัฐบาลตั้งแต่ในช่วงที่ถูกจองจำในเรือนจำกลางบางขวาง

ประวัติ[แก้]

หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน เป็นโอรสของหม่อมเจ้าธำรงวรวัฒน์ นวรัตน และพระนัดดาในพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเนาวรัตน์ กรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์ ได้รับการอบรมแบบทหารภายใต้พระบารมีของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ภายหลังจบโรงเรียนนายร้อยทหารบก ได้ย้ายไปเป็นนักบินขับไล่ประจำการ ณ สนามบินโคกกระเทียม เมื่ออายุ 25 ปี ขณะดำรงยศนายเรืออากาศโท ต้องออกจากราชการด้วยกรณีศาลพิเศษ พ.ศ. 2476 พิพากษาให้จำคุก 9 ปี ในคดีกบฏบวรเดช
ในระหว่างต้องโทษได้เริ่มศึกษาการเมืองโดยการอ่านตำราจากต่างประเทศของผู้ร่วมชะตากรรมในเรือนจำกลางบางขวาง และเขียนหนังสือขึ้น เริ่มเขียนตำราด้วยลายมือลงในสมุด ลักลอบเวียนกันอ่านในหมู่นักโทษการเมืองในชื่อวารสาร “น้ำเงินแท้” และเริ่มวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลบ้าง ก่อนที่นักโทษด้วยกันจะขอร้องให้เลิกเพราะกลัวถูกจับได้และจะถูกเพิ่มโทษ แต่ก็ยังคงเขียนต่อไปจนถืงกับส่งบทความออกมาลงหนังสือพิมพ์ภายนอก หลังถูกจองจำอยู่เพียง 5 ปีได้รับพระราชทานอภัยโทษ
เมื่อเป็นพ้นโทษแล้วได้เขียนเป็นหนังสือเล่มแรกชื่อ “พรรคการเมืองสยามและต่างประเทศ” แต่ถูกสันติบาลยึดไปจากโรงพิมพ์ทั้งหมดก่อนวางตลาด เพราะการมีพรรคการเมืองในสมัยนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทำให้เป็นอิสระอยู่ได้ไม่นานก็ถูกสันติบาลจับกุมตัวในข้อหาพยายามล้มล้างรัฐบาล จากสาเหตุที่สันติบาลไปค้นวังพระองค์เจ้าหญิงศิริรัตน์บุษบง พระธิดาองค์ใหญ่ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต แล้วเจอหนังสือกราบทูลของ ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน ด้วยสำนึกในพระกรุณาของสมเด็จพระบิดาของพระองค์หญิง ที่ได้ชุบเลี้ยงตนมาว่า เมื่อออกจากที่คุมขังมาเป็นอิสระ โอกาสที่จะเอาตัวออกรองฉลองพระบาทคงมีบ้าง ซึ่งสันติบาลแปลว่า โอกาสดังกล่าวคือ โอกาสที่จะคิดแก้แค้นรัฐบาล ในที่สุดศาลพิเศษ 2481 ได้ตัดสินว่าเป็นกบฏและให้จำคุกตลอดชีวิต ขณะถูกจองจำอยู่นั้น ได้ลอบแต่งหนังสือเมืองนิมิตร ขึ้นโดยให้ชื่อในขณะนั้นว่า “ความฝันของนักอุดมคติ” ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ และตกถึงมือสันติบาลอีก ซึ่งมีผลทำให้ถึงกับต้องโทษเนรเทศไปอยู่เกาะเต่าถึง 3 ปี รัฐบาลใหม่ของ นายควง อภัยวงศ์ จึงได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาในปี พ.ศ. 2488 พระราชทานนิรภัยโทษให้กลับเข้าในราชการรับบำเหน็จบำนาญสังกัด บก.ทอ. ตามเดิม
ในปี พ.ศ. 2490 ได้ทำการสมรสกับ คุณหญิงบรรจบพันธุ์ (สังขดุลย์) นวรัตน์ ณ อยุธยา (น้องสาวของพลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ อดีตทหารผ่านศึกยุทธนาวีเกาะช้าง) แต่เนื่องจากสังขารที่กรอบเกรียมจากวัณโรคและมาเลเรีย ครั้งทนทุกข์ทรมานอยู่ ณ เกาะเต่า ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน ได้สิ้นอายุขัยลงต่อหน้ามารดาและภริยา ในวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2491 ก่อนที่ หม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน บุตรชายคนเดียวจะเกิดเพียง 45 วัน เท่านั้น สิริรวมอยู่ได้ 39 ปี 11 เดือน กับ 20 วัน

งานประพันธ์[แก้]

ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน มีผลงานที่ได้ประพันธ์ขึ้นและตีพิมพ์สู่บรรณพิภพ นอกจาก “พรรคการเมืองสยามและต่างประเทศ” ที่หลุดลอดจากการทำลายของสันติบาลหลงเหลืออยู่เล่มหนึ่งในห้องหนังสือหายากของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังมี “ชีวิตแห่งการกบฏสองครั้ง” และ “ความฝันของนักอุดมคติ” หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า “เมืองนิมิตร” ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น 1 ในหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน และ 1 ใน 88 หนังสือดีวิทยาศาสตร์ไทย นอกจากนั้น ต้นฉบับภาษาอังกฤษชื่อ The Emerald’s Cleavage ได้รับการแปลโดย ศ. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ หลังจากถึงแก่กรรมแล้ว 26 ปี และตีพิมพ์ขึ้นในชื่อ ‘’รอยร้าวของมรกต’’ งานประพันธ์ของ ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน ได้รับการแปลและตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น เพื่อเผยแพร่อุดมคติของคนไทยคนหนึ่งไปทั่วโลก
ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน เป็นเจ้าของประโยคอมตะที่ยังทรงความหมายอย่างยิ่งต่อการเมืองไทย ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตว่า
ข้าพเจ้าเป็นทหารของชาติและถวายน้ำพิพัฒน์สัตยาจากพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้ามิใช่ทหารของรัฐบาลหรือกลุ่มนักการเมืองใด ๆ





อ้างอิง

  หนังสือ “เมืองนิมิตร” แต่เดิมชื่อ “ความฝันของนักอุดมคติ” กับหนังสือ “ชีวิตแห่งการกบฏสองครั้ง” ได้รับความสนใจจากคนหนุ่มสาวสมัยก่อน 14 ตุลาฯ มาก
       
        เมื่อได้อ่านหนังสือทั้งสองเล่มนี้แล้ว ก็มีความรู้สึกว่าคณะราษฎรได้กำจัดศัตรูทางการเมืองอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะพวกนิยมเจ้าเท่านั้น แต่เป็นใครก็ได้ที่วิจารณ์การปกครองระบอบใหม่ หนังสือสองเล่มนี้ทำให้ผมข้องใจกับอุดมการณ์ทางการเมืองของคณะราษฎร จนได้เขียนวิจารณ์พฤติกรรมทางการเมืองของคณะราษฎรหลายครั้ง
       
        หากใครได้อ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล แล้วก็อดชมไม่ได้ว่าคนสมัยก่อนมีความรู้แค่จบมัธยมปลาย แต่เขียนภาษาอังกฤษได้อย่างงดงาม
       
        ใน “เมืองนิมิตร” ผู้เขียนได้ระบายความรู้สึกของ “รุ้ง” ตัวเอก ทั้งในเชิงปรัชญาแห่งความรัก และในปรัชญาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
       
        เกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล เขียนไว้ว่า “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องแก้ที่นิสัยของนักการเมือง ซึ่งส่วนมากดำเนินนโยบายอย่างใจแคบ คิดสั้น หันหลังเข้าหากัน มนุษย์สร้างความยุ่งยากเพิ่มขึ้นเองด้วยการตั้งกำแพงภาษี และตั้งกฎตั้งเกณฑ์กีดขวางชาตินั้น ภาษานี้ แล้วก็มีการแข่งขันค้าขายอย่างเชือดคอตัวเอง ด้วยเหตุนี้พลโลกกึ่งหนึ่งจึงหิวแสบไส้ในเมื่ออีกกึ่งหนึ่งมีกินอย่างอุดม ยุโรปตะวันออกอดอยาก แต่ชาวนาภาคตะวันตกตอนกลางเอาข้าวโพดมาเผาเป็นเชื้อเพลิง” เกี่ยวกับเงิน และกำไรเขาเขียนว่า “เงินคือเสนียดของอำนาจ เมื่อวิเคราะห์ลงไปอีกชั้นหนึ่ง คือกำไร ซึ่งแปลว่า ความได้เปรียบ กำไรเป็นสิ่งที่เพาะวิญญาณของสงคราม ทำให้มนุษย์ใจบาปหยาบช้าคิดล้างผลาญกัน...เพาะนิสัยเห็นแก่ตัว และขัดขวางความเจริญของโลกทุกระยะ...ถ้ามนุษย์สิ้นความปรารถนาจะหากำไร รัฐบาลต่างๆ ก็คงไม่เอาเปรียบกัน และคงปรึกษากันเพื่อสร้างแผนเศรษฐกิจสำหรับพลโลกขึ้น”
       
        ม.ร.ว.นิมิตรมงคลมีทัศนะที่เป็นสากลนิยม เขาเห็นว่า “ทุกชาติควรตกลงกันดำเนินนโยบายการศึกษาในทางที่ให้เห็นว่ามนุษย์ทั้งโลกนี้เป็นพวกเดียวกัน ศัตรูของเราก็คืออุปสรรคที่ขัดขวางไม่ให้เรารวมกันได้ เช่น ระบอบการปกครองของผู้นำ จารีตประเพณีที่ล้าสมัย”
       
        เกี่ยวกับระบอบการปกครอง เขาเขียนว่า “ลัทธิของกษัตริย์โบราณ และลัทธิกษัตริย์ไม่สวมมงกุฎอย่างฮิตเลอร์ ก็คือ การกดขี่คนส่วนมากด้วยคนส่วนน้อย ลัทธิประชาธิปไตยในยุโรปบางประเทศก็คือการกดขี่คนส่วนน้อยโดยคนส่วนมาก การปกครองตามลัทธิคอมมิวนิสต์ในรัสเซียก็คือการกดขี่คนทุกชั้นที่มิใช่กรรมกรโดยหัวหน้ากรรมกร ยังไม่มีการปกครองในประเทศใดที่น่าพอใจ ถ้าหากรัฐบาลได้ตั้งขึ้นโดยประชาชนเพื่อประชาชนจริงแล้ว รัฐบาลเช่นนั้นย่อมจะไม่กดขี่ข่มเหงราษฎรแม้แต่คนเดียว ไม่ทอดทิ้งราษฎรที่ประสบภัยแม้แต่คนเดียว อย่างนี้จึงจะนับว่าเป็นการปกครองตนเอง รัฐบาลขององคาพยพแห่งจุลินทรีย์เป็นรัฐบาลที่น่าจะถือเป็นตัวอย่างอันน่าปรารถนาสำหรับใช้ในองคาพยพของมนุษย์ รัฐบาลของมนุษย์เคยยิงเป้าพลเมืองของตน แต่มันสมองของมนุษย์ไม่เคยสังหารจุลินทรีย์ในร่างกายของตนเอง ถ้าหากจุลินทรีย์แม้แต่ตัวเดียวต้องประสบภัย มันสมองจะจัดการสั่งอวัยวะอื่นให้ช่วยเหลือ มนุษย์จะมีความสุขมาก ถ้ามีรัฐบาลที่ดีอย่างเดียวกับรัฐบาลขององคาพยพแห่งจุลินทรีย์”
       
        ลูกศิษย์เก่าๆ ของผมที่นิด้าคงจำได้ว่าผมได้นำหนังสือเมืองนิมิตรนี้มาใช้เป็นหนังสืออ่านประกอบวิชาสังคมไทย และได้นำข้อความบางตอนมาออกข้อสอบให้วิจารณ์กัน
       
        อีกไม่นานจะมีการฉลอง 100 ปี ม.ร.ว.นิมิตรมงคล ต้นฉบับภาษาอังกฤษหนังสือสองเล่มอยู่กับผม ผมเพิ่งคืนให้ ม.ล.ชัยนิมิตรไป มีบางเล่มที่สูญหายไป เช่น นวนิยายเรื่องยาว “บุญธรรมกรรมแต่ง” เป็นต้น ในงานจะมีนิทรรศการแสดงประวัติ และต้นฉบับหนังสือมีการอภิปรายผลงานของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคลด้วย
       
        การประกาศตัวของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคลนับว่าสมสมัย นั่นคือ “ข้าพเจ้าเป็นทหารของชาติ และถวายน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าไม่ใช่ทหารของรัฐบาลหรือของกลุ่มนักการเมืองใด” 


เรื่องที่4 เป็นบทความวิชาการเรื่อง “พรรคการเมืองสยามและต่างประเทศ”
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=3025.195
ไปยังเว็บ


จอห์น ล็อก (John Locke)



จอห์น ล็อก
จอห์น ล็อก (John Locke) (29 สิงหาคม พ.ศ. 2175-28 ตุลาคม พ.ศ. 2247) เป็นนักปรัชญา ชาวอังกฤษ ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 ความสนใจหลักของเขาคือสังคมและทฤษฎีของความรู้

แนวคิดของล็อกที่เกี่ยวกับ "ผู้ปกครองที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใต้ปกครอง" และสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ ที่เขาอธิบายว่าประกอบไปด้วย ชีวิต, เสรีภาพ, และทรัพย์สิน นั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการทางปรัชญาการเมือง แนวคิดของเขาเป็นพื้นฐานของกฎหมายและรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งผู้บุกเบิกได้ใช้มันเป็นเหตุผลของการปฏิวัติ

แนวคิดด้านญาณวิทยาของล็อกนั้นมีอิทธิพลสำคัญไปจนถึงช่วงของยุคแสงสว่าง. เขามีทัศนะเกี่ยวกับทฤษฎีความรู้ว่า ความรู้จะต้องเกิดหลังประสบการณ์ และความรู้จะเกิดขึ้นโดยอาศัยการสัมผัส เมื่อมนุษย์ได้สัมผัสก็จะมีความรู้สึก และความรู้สึกจะทำให้มนุษย์นั้นคิด และความคิดนี้คือแหล่งกำเนิดแห่งความรู้ หากปราศจากการสัมผัสมนุษย์ก็จะไม่คิด เพราะจิตโดยธรรมชาติจะมีสภาพอยู่เฉย. เขาถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับนักประสบการณ์นิยมชาวบริติช ซึ่งประกอบไปด้วยเดวิด ฮูม และจอร์จ บาร์กลีย์ ล็อกมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับโทมัส ฮอบบส์
ผลงานที่สำคัญ ได้แก่
  1. An Eassy Concerning Human Understanding
  2. Two Treatises of Civil Government
พื้นฐานทางความคิด 
จอห์น ล็อค เป็นนักปรัชญาที่มีความคิดเห็นเป็นกลางๆ หลักการหาความรู้ไม่ได้เคร่งครัดอยู่กับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสหรือเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาเป็นนักประจักษ์นิยมหรือประสบการณ์นิยม เขาคิดว่าเนื้อหาของความรู้ได้มาโดยอาศัยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส และการไตร่ตรองด้วยเหตุผล เขาไม่ใช่นักประจักษ์นิยมแบบเคร่งครัด ส่วนหนึ่งเขาคล้อยตามพวกเหตุผลนิยม คือ ความเห็นหรือความเชื่อต่างๆ ต้องนำมาวิเคราะห์ไตร่ตรองด้วยเหตุผลเสียก่อน และคิดว่าไม่ควรใช้อารมณ์และความรู้สึกมาเป็นพื้นฐานในการตัดสินด้วยเหตุผล ล็อคไม่ได้ปฏิเสธความจริงทางจิตหรือวิญญาณ กฏเกณฑ์ต่างๆ ที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติตลอดจนการเปิดเผยของพระเจ้า

ล็อคได้รับแรงกระตุ้นอย่างมากจากการอ่านงานของเดส์การ์ตส์ โดยเฉพาะเรื่องการใช้เหตุผล ล็อคพยายามวิเคราะห์ว่าเหตุผลนั้นเชื่อถือได้เพียงใด ทำอย่างไรจึงเรียกว่ามีเหตุผล เขาศึกษาเรื่องนี้อยู่นานจึงได้เขียนหนังสือเรื่อง An Essay Conerning Human Understanding ซึ่งได้วิจารณ์เรื่องความคิดติดตัวมาแต่กำเนิด

ญาณวิทยาหรือทฤษฎีความรู้ 
ล็อคสรุปว่า ความรู้นั้นอยู่ที่ความคิด คำว่าความคิด หมายถึงความคิดที่เกิดขึ้นจากวัตถุที่เรามีประสบการณ์ และต้นกำเนิดของความคิดคือประสบการณ์ ล็อคอธิบายว่าประสบการณ์ได้มาสองทางคือ ทางผัสสะ กับการไตร่ตรอง หมายความว่า ความคิดทุกความคิดเกิดจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่เรามีต่อโลก และเกิดจากการไตร่ตรองเกี่ยวกับความคิดอันเกิดจากผัสสะ การไตร่ตรองถือเป็นประสบการณ์ภายใน สิ่งที่ล็อคเน้นก็คือ เราไม่สามารถมีประสบการณ์เกี่ยวกับการไตร่ตรอง จนกว่าเราจะได้มีประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส ล็อคปฏิเสธทฤษฎีความคิดติดตัว เราเกิดมาในโลกพร้อมกับความคิดติดมากับจิตของเราแล้ว

ปฏิเสธความคิดติดตัว ความคิดทุกชนิดมาจากประสบการณ์ ทฤษฎีที่ว่าความคิดหรือหลักการบางอย่างที่มนุษย์เข้าใจ ติดตัวมนุษย์มาแล้วแต่แรกเกิดนั้น เป็นเพียง ความเห็นที่กำหนดขึ้นระหว่างคนบางคน ล็อคคืดว่าความเห็นเช่นนี้เป็นอันตรายถ้ามีผู้นำไปใช้ในทางที่ผิด ล็อคพยายามชี้ให้เห็นคำสอนเรื่องความคิดติดตัวมาแต่เกิดนี้เป็นความเชื่อที่ไร้พื้นฐานที่น่าเชื่อถือเป็นอคติหรือความเห็น ไม่ใช่ความรู้ ล็อคเห็นว่า ความคิดติดตัว เป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น ล็อคเชื่อมั่นว่า ไม่มีอะไรที่เขาสามารถอธิบายได้ในรูปที่ว่าต้นกำเนิดของความรู้นั้นมาจากประสบการณ์

ความคิดเชิงเดี่ยวและความคิดเชิงซ้อน ความรู้คือการค้นพบวัตถุที่ทำให้เกิดความรู้จิตเปรียบเหมือนกระดาษขาว ไม่มีความคิดใดๆ อยู่ก่อนเลย ความคิดเหตุผล และความรู้ได้มาจากประสบการณ์เท่านั้น ประสบการณ์แบ่งเป็นสองอย่างคือ ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสหรือผัสสะ และประสบการณ์จากการไตร่ตรอง

ผัสสะคือ แหล่งกำเนิดทางความคิดที่ใหญ่ที่สุดที่เรามี ประสบการณ์คือ การไตร่ตรองซึ่งเป็นกิจกรรมของจิต ที่ทำให้เกิดความคิด โดยการให้ความสนใจต่อความคิดที่ได้มาโดยประสาทสัมผัส ความคิดของมนุษย์ทั้งหมดสามารถสืบสาวได้ว่า ไม่มาจากผัสสะก็ต้องมาจากการไตร่ตรอง และความคิดเหล่านี้ ถ้าไม่เป็นความคิดเชิงเดี่ยวก็ต้องเป็นความคิดเชิงซ้อน

ความคิดเชิงเดี่ยว เกิดจากวัตถุที่เป็นต้นกำเนิดของความรู้ ประสาทสัมผัสรับมาและผ่านเข้าไปในจิตในลักษณะที่เป็นหน่วยเดียวเกิดความคิดเกี่ยวกับวัตถุหรือภาพของวัตถุนั้นขึ้นในจิตของเรา เช่น ดอกมะลิสีขาวกลิ่นหอม แต่ความคิดที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงความคิดเดียวคือ ความคิดเกี่ยวกับดอกมะลิ ไม่ใช่ความคิดที่แยกเป็นความขาวและความหอม

ความคิดเชิงซ้อน ไม่ใช่สิ่งที่จิตรับมาโดยตรงจากวัตถุภายนอกแต่เป็นความคิดเชิงเดี่ยวที่จิตนำมารวมกันเข้า คือ การเชื่อมโยงความคิด การนำความรู้มาอยู่ด้วยกัน และการทำความคิดให้เป็นสากล เช่น จิตรวมเอาความคิดเกี่ยวกับความขาว ความแข็ง และความหวาน มาสร้างเป็นความคิดเชิงซ้อนขึ้นเป็นก้อนน้ำตาล จิตนำเอาความคิดต่างๆ มาอยู่ด้วยกัน

คุณสมบัติปฐมภูมิและทุติยภูมิ ล็อคแยกคุณสมบัติออกเป็นสองชนิดคือคุณสมบัติปฐมภูมิกับคุณสมบัติ คุณสมบัติปฐมภูมิคือ คุณสมบัติที่มีอยู่จริงๆ ในวัตถุ ความคิดที่เกิดจากปฐมภูมิจะเหมือนกับคุณสมบัตินั้นๆ ในวัตถุ ก้อนหิมะที่เราดูว่ากลมมันก็กลมจริงๆ กำลังเคลื่อนไหว ก็เคลื่อนไหวจริง คุณสมบัติทุติยภูมิเป็นคุณสมบัติที่เกิดขึ้นในจิตของเรา แต่ไม่มีอยู่ในตัววัตถุ เรามีความคิดเกี่ยวกับเย็น เมื่อเราสัมผัสสะหิมะ และความคิดเกี่ยวกับขาว เมื่อเราเห็นหิมะ แต่ไม่มีความขาวความเย็นในก้อนหิมะ
  • คุณสมบัติปฐมภูมิหรือคุณสมบัติที่เป็นของวัตถุ ได้แก่ ความแข็ง การกินที่ รูปทรง การเคลื่อนไหว หรือการอยู่นิ่ง และจำนวน
  • คุณสมบัติทุติยภูมิ ได้แก่ สี เสียง รส กลิ่น ไม่ได้เป็นของวัตถุหรือส่วนประกอบของวัตถุ เป็นเพียงอำนาจที่ทำให้เกิดความคิดในตัวเรา
สาร 
ล็อคถือว่าสารประกอบขึ้นเป็นวัตถุที่เราสามารถรับรู้ได้ทางประสาทสัมผัส สารมีสองชนิด คือ วัตถุ กับจิต

ความแน่นอนของความรู้ 
ความรู้ได้มาจากความคิด ความรู้เกิดได้ 3 ระดับคือ
  1. ความรู้จากอัชฌัตติกญาณ เป็นความรู้ที่เห็นแจ้งได้ทันที แน่นอน ไม่เป็นที่สงสัย ไม่ต้องพิสูจน์ เช่น วงกลมไม่ใช่สี่เหลี่ยม หรือ 6 ไม่ใช่ 9 เป็นต้น
     
  2. ความรู้จากเหตุผล เกิดจากการพยายามค้นหาความเข้ากันได้หรือไม่ได้ของความคิด ความคิด 2 เรื่อง เข้ากันได้โดยมีการคิดเรื่องที่ 3 เป็นตัวกลางสำหรับเปรียบเทียบความคิดที่ 3 นี้ เป็นสิ่งที่เห็นจริงแล้ว อาจได้จากประสบการณ์โดยตรงหรือเป็นสิ่งที่พิสูจน์มาแล้วจนเชื่อถือได้ ความรู้ที่ต้องอาศัยความรู้อื่นเป็นตัวกลางหรือเป็นสื่อ เรียกว่า ความรู้จากการอ้างเหตุผล
     
  3. ความรู้จากประสาทสัมผัส เป็นความรู้ที่มีความแน่นอนน้อยที่สุด โลกภายนอกเป็นสิ่งที่มีอยู่แต่ความรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกเป็นสิ่งไม่แน่นอน และหาขอบเขตจำกัดได้ยาก
ความรู้จากอัชฌัตติกญาณทำให้เรารู้ว่าตัวเรามีอยู่อย่างแน่นอน ความรู้จากเหตุผลแสดงให้เห็นว่าพระเจ้ามีอยู่และความรู้จากประสาทสัมผัส ทำให้เรามั่นใจว่า ตัวตน และสิ่งอื่นๆ มีอยู่ แต่มีอยู่เท่าที่มันปรากฏแก่เราขณะเรามีประสบการณ์ต่อมัน

จริยศาสตร์ 
ล็อคไม่เห็นด้วยที่ว่า กฎทางศีลธรรมเป็นกฎสากลและฝังลึกอยู่ในมโนธรรมตั้งแต่เกิด เราได้รับกฎเกณฑ์เหล่านี้จาก การศึกษา สิ่งแวดล้อม และขนบธรรมเนียมประเพณี

มนุษย์โดยธรรมชาติจะแสวงหาความสุขหรือความพอใจและหลีกเลี่ยงความทุกข์หรือความเจ็บปวด ล็อคกล่าวว่าสิ่งที่เราเรียกว่าดี คือสิ่งที่ทำให้เกิดหรือเพิ่มความพอใจ สิ่งที่ชั่วคือ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด เป็นเครื่องวัดเป็นความคิดที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า รตินิยม (Hedonism)

ล็อคคิดว่า มนุษย์มีเหตุผลเพียงพอที่ทำให้ค้นพบแบบอย่างของการประพฤติปฏิบัติตน เพื่อก่อให้เกิดความสุขความพอใจต่อส่วนรวม แบบอย่างอันนี้ก็คือกฎที่มนุษย์จะต้องกระทำตาม ล็อคแบ่งกฎออกเป็น 3 ชนิดคือ กฎแห่งความเห็น กฎของประชาชน และกฎของพระเจ้า กฎทั้ง 3 นี้ มีความสัมพันธ์กัน

กฎแห่งความเห็น เป็นการกำหนดขึ้นของสังคม ว่ามนุษย์ต้องประพฤติอย่างไรจึงจะมีความสุข คือเป็นความเห็นของคนส่วนใหญ่ในสังคม การปฏิบัติตามกฎนี้ได้ถือว่ามีคุณธรรมและคุณธรรมของแต่ละสังคมจะแตกต่างกันไปตามกฎที่สังคมนั้นๆ กำหนดขึ้น

กฎของประชาชน เป็นกฎที่กำหนดขึ้นโดยรัฐและบังคับใช้โดยศาลและกฎอันนี้มีแนวโน้มที่จะเดินตามกฎข้อแรก 
กฎของเทพเจ้า เป็นกฎที่มนุษย์จะรู้ได้ก็โดยเหตุผลของตนเองหรือโดยการเปิดเผยของพระเจ้า เป็นกฎที่เป็นจริงเพื่อเป็นจริงเพื่อเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ กฎของประชาชนควรจะต้องกำหนดให้คล้อยตามกฎของพระเจ้า

ปรัชญาการเมือง 
ล็อคเริ่มต้นทฤษฎีการเมืองของเขาเหมือนกับฮอบส์ คือเริ่มจากการกล่าวถึง ธรรมชาติของมนุษย์และสภาวะธรรมชาติ สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ทุกคนมีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์คนสามารถกระทำตามที่ตนเลือกภายในขอบเขตที่กฎธรรมชาติกำหนดไว้ สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ทุกคนมีความเสมอภาคมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่มีผู้ใดมีสิทธิและอำนาจมากกว่าผู้ใดนี่เป็นสิทธิตามธรรมชาติ เป็นสิทธิที่มีอยู่ก่อนการเกิดของสังคมการเมือง คนเสมอภาคกันในแง่ของสิทธิ ไม่ใช่เสมอกันในความสามารถ

มนุษย์มีความจำเป็นต้องเข้ามารวมกันเป็นสังคมการเมืองและจัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยการรวมกันในลักษณะเป็นสัญญาประชาคม 
สัญญาประชาคมของล็อคมีสองลักษณะคือ เป็นสัญญาระหว่างปัจเจกชนที่มารวมกันเป็นสังคม สัญญานี้ไม่มีการบังคับเป็นการยินยอมพร้อมใจของบุคคลยอมสละสิทธิและเสรีภาพในสภาวะธรรมชาติบางประการ เพื่อให้เกิดประชาคมโดยหวังจะทำให้การดำรงชีวิตสะดวกสบาย ปลอดภัย และสงบสุขยิ่งขึ้น

การปกครองสังคมนั้นจะต้องเป็นไปตามเสียงข้างมาก เพราะเสียงข้างมากนั้นสะท้อนให้เห็นเจตจำนงของคนส่วนใหญ่ในสังคม 
ล็อคเห็นว่า รัฐบาลจะต้องให้ความคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินส่วนตัวของบุคคล ซึ่งเป็นสิ่งที่โอนให้ใครไม่ได้ และปกป้องสิทธิเสรีภาพของบุคคลให้พ้นจากอำนาจทางการเมือง นั่นคือรัฐบาลจะเข้าไปก้าวก่ายสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเกินกว่าที่ประชาชนได้ยอมสละให้แล้วไม่ได้ ความคิดทางการเมืองของล็อค มีอิทธิพลในทาปฏิบัติไม่น้อย ความคิดเรื่องสิทธิในทรัพย์สินส่วนอิทธิพลต่อการปฏิวัติในฝรั่งเศสและอเมริกา